บานนั้น, มั่ว

ยังไม่มีเรื่อง

“การที่ปุถุชน มีทั้งกิเลศตัณหาล้นพ้นตัว ต้องเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว เดียวดาย ช่างเป็นอะไรที่บัดซบมากที่สุด เวลาอยู่บาร์เหล้าแล้วเขาจะปรับทุกข์กับใครหนอ”

ชวนให้คิดถึงแมงบาร์อย่างอาว์ ‘รงค์ (นักเขียนในดวงใจ ที่เคยหวังว่าจะไปขอลายเซ็นต์แกไว้สักครั้ง ทั้ง ทั้ง ที่รู้ว่าแกยังหนุ่ม  ก็มัวแต่โอ้เอ้ จนแกตายไปก่อน ฮา ฮา ไปเชียงใหม่แต่ละทีก็ตกหลุมบาร์ ไปไม่ถึงสวนทูนอินเสียที นี่แหละจำเอาไว้ถึงคุณค่าของคำว่า “ทำทันที” ก่อนที่มันจะไม่ทัน) แกเคี้ยวเหล้าเป็นตัวหนังสือได้อร่อยเด็ดจริง จริง หรือเพราะความชมชอบที่ถูกจริตกัน อันนี้ก็ไม่ทราบแต่อย่างใด

เดี๋ยวนี้ได้ท่องเที่ยว เทียวไปกับผู้คนหลากหลาย ตะลอนไปจนลืมว่า เคยเที่ยวคนเดียวอยู่หลายครั้ง ลืมรสชาติของการไปเอื่อย จมอยู่ในความคิด ลากตัวเองไปนั่งอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า มองหาของกิน ดื่มพร้อมกับมองผู้คนเคลื่อนไหวไปรอบ รอบ ชะลอเวลาของตัวเอง บันทึกสิ่งต่าง ต่าง รอบตัวด้วยภาพ นอนบิดอย่างเกียจคร้าน พูดคุยกับตัวเอง อ่านหนังสือ ที่ไม่เคยจะตั้งใจอ่านให้มันจบแต่เหมือนกับจะพกไว้ให้มันดูดี ฟังเพลง กับบันทึกความทรงจำมันก็ขาดวิ่น ปะติดปะต่อได้อย่างเลือนลาง จนเล่าออกมาเป็นเรื่องไม่ได้ อดีตถ้าไม่เกิดเป็นบทเรียนก็ไม่มีอะไรที่น่าจดจำ ไม่ใช่หรือ

ไปเที่ยวไหนมาบ้าง

ในป่ามีอะไร ในป่ามีร่างกายที่แข็งแรง ที่ต้องบากบั่นเอาร่างกายและสิ่งของข้ามป่าเขา เพื่ออะไร ความสงบ? ความอยาก? ความสนุก? ก็ขึ้นอยู่ที่ใครจะเก็บเกี่ยว ทั้งจากภายในใจเอง จากการฟัง การสนทนา ในป่ามีอาหารที่ให้ค้นหาและหยิบยืมประทังชีวิตที่ต้องแลกเปลี่ยนกันด้วยความสามารถ ก่อนจะขับถ่ายคืนไปในวันรุ่ง / บนพื้นดินที่ปัดแล้วกลิ้งเกลือก พักผิงเอนกายกันตามสภาพที่จะปรับเข้าหากัน กับความหนาวเหน็บ เปียกชื้นในตอนกลางคืน หรือแม้แต่เวลาฝนกระหน่ำฉ่ำฟ้า ที่จะต้องหุงข้าวกินกันให้ได้ ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ชาวป่า คงนึกแปลกว่าพวกนี้มาค้นหาอะไรกันในชีวิต หรือว่าเขาหลงทางแล้วพยายามค้นหาทางในชีวิตตามที่เขาคิด

ในเมืองมีอะไร แสงไฟตระการตา เวลาที่ไม่รู้จักหลับนอน มุมสลัวที่ขับเคลื่อนด้วยความทะยานอยาก ที่ค้นหาและประทังชีวิตกันด้วยการแลกเปลี่ยนกับเงินตรา กับการนอนอยู่บนฟูกอันอ่อนนุ่ม พร้อมบริกรที่ป้อนอาหารเข้าใส่ปาก นับเป็นที่สนองความอยากได้อย่างสุดกู่และดูเบิกบานที่สุด แม้แต่คนเศร้าอมทุกข์ ก็ยังยอมสนุกกับความทุกข์ของตัวเองในเมืองนี้

ทะเล มีแสงแดด มีลม ไอเค็ม ความร้อน ที่ปนเย็นอย่างแปลกประหลาด มีความเกรี้ยวกราด สาดซัดโถมเข้าใส่ และที่แน่ แน่ เค็ม !

บนถนนด้วยความเร็ว ที่ทำให้ขาดความสนใจในรายละเอียดสองข้างทาง ใจที่มุ่งไปรออยู่ที่จุดหมาย แม้จะช้าลงสักนิด ถ้าต้องไปคนเดียวก็เป็นภาระน่าดูกับการขับรถ ถือกล้อง สมุด แผนที่ น้ำ เพลง ฯลฯ ดูมันพะรุงพะรังกับชีวิตยังไงชอบกล บัดซบที่สุดอย่างที่บอกไว้ตอนแรก แต่ยังดีกว่าผู้ร่วมทาง หน้าซื่อใจคด พกความขุ่นมัวของจิตใจ แล้วร่วมไปกับเรา จักรยานหรือมันคงจะไกลไปสำหรับผมในการปั่น แม้แต่การเดินที่ขอเดินในป่า ๕ วัน ก็ดีีกว่าเดินบนถนนสัก ๕ นาที แต่มนุษย์ก็พยายามเคลื่อนย้ายตัวเองไปเพื่อจะหาสิ่งแปลกใหม่ เพื่อที่จะไปเจอสิ่งที่ตัวเองมองไม่เคยเห็น หาไม่เคยเจอว่า ที่สุดแล้วมันไม่ได้แตกต่างกันเลย

Maybe It’s Time กับเสียงเพลงดังอยู่ข้างตัว ในเวลาที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือไม่ได้ แต่สุดท้ายก็อยากบอกว่า มันได้เวลาแล้ว ที่จะบอกว่า ฉันสามารถอยู่โดยไม่ต้องมีเธออีกต่อไป 

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.